
การทำธุรกิจร้านอาหารในรูปแบบนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด การวางแผนภาษีที่ถูกต้องและรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณลดภาระภาษีได้อย่างถูกกฎหมายและเติบโตได้อย่างยั่งยืน บทความนี้จะสรุปประเด็นสำคัญและขั้นตอนที่คุณควรรู้
สารบัญ
Toggle1.เลือกรูปแบบธุรกิจและจดทะเบียนให้ชัดเจน
ก่อนเริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารในรูปแบบนิติบุคคล ผู้ประกอบการควรพิจารณาให้ชัดเจนว่าจะเลือกจดทะเบียนเป็นประเภทใด เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ และสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
การเลือกรูปแบบนิติบุคคลมีผลต่อทั้งการจัดการภายใน ความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้น และการเสียภาษีในอนาคต การพิจารณาให้เหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่มจึงมีความสำคัญมาก โดยรูปแบบนิติบุคคลมีให้เลือก ดังนี้
1.1.เลือกประเภทนิติบุคคล
- บริษัทจำกัด เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่ผู้ประกอบการ เพราะเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดเฉพาะจำนวนเงินที่ลงทุนในบริษัทเท่านั้น จึงช่วยลดความเสี่ยงด้านการเงินหากเกิดข้อผิดพลาดในกิจการ
- ห้างหุ้นส่วนจำกัด: เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีหุ้นส่วนไม่มากนัก โดยแบ่งเป็น “หุ้นส่วนจำกัด” ซึ่งรับผิดชอบตามจำนวนเงินที่ลงทุน และ “หุ้นส่วนไม่จำกัด” ซึ่งอาจต้องรับผิดในหนี้สินทั้งหมดของกิจการ หากไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน อาจเกิดความเสี่ยงทางกฎหมายได้
1.2.ระบุประเภทธุรกิจ
การระบุวัตถุประสงค์ของกิจการอย่างชัดเจนในการจดทะเบียน เช่น ระบุว่าเป็น “ร้านอาหาร” หรือ “บริการด้านอาหาร” มีความสำคัญต่อการเสียภาษี การขอใบอนุญาต และการดำเนินการทางกฎหมายในอนาคต จึงควรตรวจสอบกับสำนักงานบัญชีหรือกรมพัฒนาธุรกิจการค้าก่อนยื่นคำขอ
2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ต้องรู้!
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีทางอ้อมที่จัดเก็บจากการขายสินค้าและให้บริการ ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหารต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อรายได้ของกิจการเริ่มเข้าเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด
การทำความเข้าใจเรื่อง VAT อย่างรอบด้านตั้งแต่เริ่มต้น จะช่วยให้ร้านอาหารวางระบบบัญชีและภาษีได้อย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการดำเนินธุรกิจในอนาคตได้
2.1.เกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี หากรายได้รวมของร้านอาหารในรอบ 12 เดือนเกิน 1.8 ล้านบาท ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.01) กับกรมสรรพากร และต้องออก ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการขายสินค้า หรือให้บริการที่ต้องเสียภาษี
- รายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี แม้จะยังไม่ถึงเกณฑ์บังคับ แต่ผู้ประกอบการสามารถ จดทะเบียน VAT ได้โดยสมัครใจ หากต้องการใช้สิทธิในการขอคืนภาษีซื้อ เช่น ภาษีจากการซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์ หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนได้ในระยะยาว
3.วางแผนภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นภาษีหลักที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงในการบริหารธุรกิจร้านอาหาร หากวางแผนอย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้น จะช่วยลดภาระภาษีและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางแผนภาษีเงินได้นิติบุคลควรคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้
- รู้อัตราภาษี ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลทั่วไปจะต้องเสียภาษีในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิ โดยคิดจากรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการแล้ว
- ลดหย่อนภาษีอย่างชาญฉลาด การใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เป็นแนวทางสำคัญในการวางแผนภาษีให้คุ้มค่า
- ค่าใช้จ่ายที่หักได้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินกิจการร้านอาหาร ซึ่งสามารถนำมาหักภาษีได้ เช่น
- วัตถุดิบ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม
- ค่าแรงพนักงาน รวมถึงเงินเดือน โบนัส และสวัสดิการ
- ค่าเช่า
- ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต
- ค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและโฆษณา
- ค่าลดหย่อนพิเศษ เป็นค่าใช้จ่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งสามารถนำมาหักเพิ่มเติมได้ เช่น
- ค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ เช่น เครื่องครัวหรืออุปกรณ์
- ค่าฝึกอบรมพนักงาน เพื่อการพัฒนาทักษะพนักงาน
- ค่าบริจาค การบริจาคเพื่อการกุศลที่กฎหมายกำหนด
- สิทธิประโยชน์จาก BOI หากธุรกิจของคุณเข้าเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนของ BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) คุณอาจได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการชั่วคราว
- ค่าใช้จ่ายที่หักได้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินกิจการร้านอาหาร ซึ่งสามารถนำมาหักภาษีได้ เช่น
4.ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
ผู้ประกอบการร้านอาหารในรูปแบบนิติบุคคล มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ทุกครั้งเมื่อมีการจ่ายเงินให้กับบุคคลหรือกิจการอื่นในบางประเภทของรายจ่าย ซึ่งภาษีที่หักไว้จะต้องนำส่งให้กับกรมสรรพากรตามที่กฎหมายกำหนด
ค่าเช่า
หากร้านของคุณเช่าสถานที่หรืออุปกรณ์จากบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ต้องหักภาษีไว้ 3% หรือ 5% ขึ้นอยู่กับประเภทผู้รับเงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องค่าบริการ
เช่น ค่าบริการรับทำบัญชี บริการออกแบบ หรือบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ต้องหักภาษีไว้ 3% จากยอดที่จ่ายค่าโฆษณา
หากมีการจ้างงานด้านสื่อ โฆษณา หรือโปรโมทกิจกรรม ต้องหักภาษีไว้ 2% ของยอดจ่ายการนำส่งภาษี
ภาษีที่หักไว้จากแต่ละรายการ ต้องนำส่งกรมสรรพากร ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป โดยใช้แบบฟอร์มที่กำหนด (เช่น ภ.ง.ด.3 หรือ ภ.ง.ด.53)
การบริหารภาษีหัก ณ ที่จ่ายอย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้กิจการปฏิบัติตามกฎหมายได้ครบถ้วน แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย
5.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (สำหรับพนักงาน)
ในฐานะนายจ้าง ผู้ประกอบการมีหน้าที่ตามกฎหมายในการหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินเดือนของพนักงาน และนำส่งให้กรมสรรพากรอย่างถูกต้องและตรงเวลา
หักภาษีพนักงาน
เงินเดือนและค่าจ้างของพนักงานต้องถูกหักภาษีตามอัตราก้าวหน้า ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 0% ไปจนถึง 35% โดยพิจารณาจากฐานรายได้สุทธิของแต่ละคน รวมถึงสิทธิในการหักค่าลดหย่อนส่วนบุคคลและครอบครัวตามที่กฎหมายกำหนดการนำส่งภาษี
ภาษีที่หักไว้จากเงินเดือนพนักงาน ต้องนำส่งกรมสรรพากร เป็นรายเดือน ผ่านแบบฟอร์ม ภ.ง.ด.1 และ ภ.ง.ด.1ก ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (หากยื่นแบบกระดาษ) หรือภายในวันที่ 15 (หากยื่นผ่านระบบออนไลน์)กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
การจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้พนักงาน เป็นแนวทางหนึ่งในการส่งเสริมวินัยการออมของพนักงานในระยะยาว และยังช่วย ลดฐานภาษี ให้แก่พนักงานได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ นายจ้างเองก็สามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปหักลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้เช่นกัน
การบริหารภาษีพนักงานอย่างถูกต้องและใส่ใจ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับบุคลากรในองค์กร และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของกิจการในสายตาภายนอก
6.ภาษีอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง
นอกจากภาษีหลักอย่างภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ธุรกิจร้านอาหารยังอาจมีภาระภาษีประเภทอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาตามลักษณะกิจการและบริการที่ให้กับลูกค้า
ภาษีสรรพสามิต
หากร้านมีการจำหน่าย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือบุหรี่ ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้อง ขอใบอนุญาตจำหน่าย และชำระภาษีสรรพสามิตตามอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยมีข้อกำหนดเฉพาะด้านฉลากสินค้า การแสดงราคา และข้อห้ามทางการโฆษณาที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดภาษีท้องถิ่น
ได้แก่ ภาษีที่จัดเก็บโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น- ภาษีป้าย: สำหรับป้ายชื่อร้าน หรือป้ายโฆษณาที่แสดงชื่อและโลโก้กิจการ
ภาษีบำรุงท้องถิ่น: ที่อาจเรียกเก็บเพิ่มเติมตามนโยบายของแต่ละพื้นที่
ภาษีเหล่านี้แม้จะดูเป็นภาระเล็กน้อย แต่หากละเลยหรือไม่ดำเนินการให้ถูกต้อง อาจส่งผลให้เกิดค่าปรับ หรือปัญหาด้านใบอนุญาตตามมาในภายหลังได้ จึงควรตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
7.การบันทึกบัญชีและเอกสารสำคัญ
การจัดทำบัญชีอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน ไม่เพียงเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย แต่ยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจมองเห็นภาพรวมทางการเงินของกิจการได้ชัดเจน และวางแผนทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบบัญชี
ร้านอาหารในรูปแบบนิติบุคคลต้อง จัดทำบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีของประเทศไทย อย่างเคร่งครัด โดยต้องมีการจัดทำ งบกำไรขาดทุน งบดุล และรายงานทางการเงิน อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง และใช้ในการยื่นแบบภาษีประจำปีการเก็บรักษาเอกสาร
เอกสารทางบัญชีที่สำคัญ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ใบสำคัญจ่าย และใบแจ้งหนี้ ต้องจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ และเก็บรักษาไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่สิ้นสุดรอบบัญชี ทั้งนี้เพื่อให้สามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบการหักค่าใช้จ่าย และรองรับการตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
การมีระบบบัญชีที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานอย่างเป็นระบบ แต่ยังลดความเสี่ยงด้านภาษีและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและสถาบันการเงินในอนาคตได้อีกด้วย
8.การยื่นแบบแสดงรายการภาษี
เมื่อดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลแล้ว ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีต่าง ๆ ให้ถูกต้องตามกำหนดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นจากการยื่นล่าช้า
ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50)
ต้องยื่นภายใน 150 วัน นับจากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี โดยทั่วไปหากรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม จะต้องยื่นแบบ ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ของปีถัดไป พร้อมแนบงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30)
ผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT ต้องยื่นแบบ เป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีการขายสินค้า/บริการหรือไม่ก็ตาม เพื่อแสดงรายการภาษีขาย ภาษีซื้อ และคำนวณภาษีที่ต้องชำระหรือขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.3, 53)
แบบ ภ.ง.ด.3 ใช้สำหรับการหักภาษีจากบุคคลธรรมดา และแบบ ภ.ง.ด.53 ใช้สำหรับนิติบุคคล โดยต้องยื่น ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (หากยื่นแบบกระดาษ) หรือ วันที่ 15 (หากยื่นผ่านระบบออนไลน์)
9.ตรวจสอบและปรับปรุงแผนภาษีอย่างสม่ำเสมอ
กฎหมายภาษีมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ การปรึกษานักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษีอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้คุณสามารถปรับแผนภาษีให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและรูปแบบธุรกิจของคุณอยู่เสมอ
ตัวอย่างการวางแผนลดหย่อนภาษีสำหรับร้านอาหาร
- ซื้อวัตถุดิบช่วงปลายปี: หากคาดว่าจะมีกำไรมาก การซื้อวัตถุดิบในปริมาณมากช่วงปลายปีสามารถช่วยเพิ่มค่าใช้จ่ายในปีปัจจุบันได้
- ลงทุนในอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน: การลงทุนในอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดพลังงานบางประเภท อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม
- จ่ายโบนัสพนักงาน: การจ่ายโบนัสถือเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการที่สามารถนำมาหักภาษีได้
คำแนะนำเพิ่มเติม
- ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์: การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เช่น Express หรือ FlowAccount จะช่วยให้การจัดการภาษีและบัญชีของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและง่ายขึ้น
- ปรึกษาสำนักงานบัญชีโดยตรง: เพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับธุรกิจร้านอาหารของคุณมากที่สุด ควรปรึกษาสำนักงานบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญ
หากสำนักงานบัญชีสยามออนไลน์เป็นผู้ดูแลบัญชีให้คุณ คุณควรเตรียมเอกสารที่สำคัญ เช่น สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล, บัตรประชาชนของผู้มีอำนาจลงนาม และ รายละเอียดกิจกรรมทางธุรกิจ เพื่อให้การวางแผนภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจร้านอาหารของคุณ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามนักบัญชีมืออาชีพได้เสมอ
……….
บริการจากสำนักงานบัญชีสยามออนไลน์
สำนักงานบัญชีสยามออนไลน์ พร้อมให้คำแนะนำและบริการวางระบบบัญชีร้านอาหารแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น
- ให้คำปรึกษา ช่วยวิเคราะห์และออกแบบระบบบัญชีที่เหมาะกับร้านของคุณ
- จัดทำบัญชีบันทึกรายรับ-รายจ่าย จัดทำรายงานทางการเงิน และยื่นภาษี
- วางระบบบัญชีให้เข้ากับประเภทธุรกิจด้วยโปรแกรมบัญชี เช่น ธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจบริการ ธุรค้าขายออนไลน์ เป็นต้น
- วางแผนภาษีพร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการภาษีให้ถูกต้องและประหยัดที่สุด
- ดูแลครบวงจรให้คุณหมดกังวลเรื่องบัญชีและภาษี เพื่อทุ่มเทให้กับการบริหารร้านอาหารได้อย่างเต็มที่
สำนักงานบัญชีสยามออนไลน์ ยินดีช่วยคุณสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจร้านอาหารของคุณ