การทำบัญชีนิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรร/อาคารชุด ให้ถูกต้อง และมีคุณภาพ

การทำบัญชีนิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรร/อาคารชุด ให้ถูกต้อง และมีคุณภาพ

1.  การทำบัญชีการทำบัญชีนิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรร/อาคารชุด ให้ถูกต้อง

                 การทำบัญชีนิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรร/อาคารชุด ให้ถูกต้อง หมายถึงการทำบัญชีให้ถูกต้องตาม พรบ.การจัดสรรที่ดิน , ตาม พรบ.การบัญชี และตามประมวลรัษฎากร

ถูกต้องตาม พรบ.การจัดสรรที่ดิน หมายถึง

–         ทำตาม พรบ.การจัดสรรที่ดิน อย่างเคร่งครัด ( กฎกระทรวงว่าด้วยการขอจดทะเบียนจัดตั้ง การบริหาร การควบคุม และการยกเลิกนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร )

–         อำนาจในการจัดเก็บค่าส่วนกลาง( ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และค่าสาธารณูปโภค )

–         มาตรการในการกำหนดค่าปรับกรณีผู้จ่าย ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และค่าสาธารณูปโภค ล่าช้า

–         การแจ้งระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรณีสมาชิกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และค่าสาธารณูปโภค

–         การจัดให้มีการตรวจสอบบัญชี โดยให้คณะ กรรมการบริหารดำเนินการให้มีการตรวจสอบบัญชีของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เพื่อตรวจสอบ และแสดงความเห็นต่องบการเงินของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้น รอบปีบัญชี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด

ถูกต้องตาม พรบ.การบัญชี หมายถึง

                ผู้ทำบัญชี

–           มีคุณสมบัติ และเงื่อนไข ที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด

–          ประกาศกรมทะเบียนการค้ากำหนดคุณสมบัติ และเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชีปี2543ใช้ตั้งแต่ 10 ส.ค.54 เช่น มีคุณสมบัติ และถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร,มีความรู้ภาษาไทย,ไม่เคยต้องโทษกฎหมายบัญชี หรือผู้สอบบัญชี เป็นต้น

–          ควบคุมดูแลการทำบัญชีให้เป็นไป ตามมาตรฐานการบัญชี

ตรงความเป็นจริง และถูกต้อง

จัดให้มีการทำบัญชี ตามมาตรฐานการบัญชี

การทำบัญชี ต้องครบถ้วนถูกต้องตามที่อธิบดีประกาศกำหนดเกี่ยวกับ

ดู ประกาศกรมทะเบียนการค้า
เรื่อง กำหนดชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ ข้อความและรายการ
ที่ต้องมีในบัญชี ระยะเวลาที่ต้องลงรายการในบัญชี
และเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี
พ.ศ. ๒๕๔๔

  • ชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ

บัญชีรายวัน เช่น บัญชีรายวันซื้อ,รานวันขาย,รายวันทั่วไป

บัญชีเงินสด,บัญชีเงินฝากธนาคาร

บัญชีสินค้าคงคลัง

  • ข้อความและรายการที่ต้องมีในบัญชี
  1. บัญชีเงินสด หรือบัญชีธนาคาร ให้มีรายละเอียดการได้มาหรือจ่ายไปซึ่งเงินสด เงินในธนาคาร เน้นที่มีในเอกสาร
  2. บัญชีรายวันซื้อหรือบัญชีรายวันขาย ให้มีรายละเอียด ชนิด ประเภท จำนวน และราคาของสินค้าหรือบริการที่ซื้อขาย แต่ถ้ามีรายละเอียดดังกล่าวในเอกสารประกอบการลงบัญชี
  3. บัญชีรายวันทั่วไป ให้มีคำอธิบายรายการบัญชี
  4. บัญชีแยกประเภทสินทรัพย์ หนี้สินและทุน ให้มีรายละเอียดการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสินทรัพย์ หนี้สินและทุน โดยให้อ้างชนิดของบัญชีและหน้าบัญชีหรือรหัสที่อ้างอิงด้วย
  5. บัญชีแยกประเภทรายได้และค่าใช้จ่าย ให้มีรายละเอียดที่มาแห่งรายได้หรือค่าใช้จ่าย โดยให้อ้างชนิดของบัญชีและหน้าบัญชีหรือรหัสที่อ้างอิงด้วย
  6. บัญชีแยกประเภทลูกหนี้หรือบัญชีแยกประเภทเจ้าหนี้ ให้มีชื่อลูกหนี้หรือเจ้าหนี้การแสดงรายการบัญชีให้มีรายละเอียดการก่อหนี้หรือระงับหนี้ การลงรายการดังกล่าวให้อ้างชนิดของบัญชีและ
  7. หน้าบัญชีหรือรหัสที่อ้างอิงด้วย 
                 (๗) บัญชีสินค้า ให้มีชื่อ ชนิด จำนวน หน่วยนับ รายละเอียดการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินค้า และจำนวนสินค้านั้น

เอกสารที่ต้องใช้ประกอบในการลงบัญชี

–          จัดให้มีเอกสารประกอบการลงบัญชีได้แก่ บันทึก หรือเอกสารใดๆที่ใช้เป็นหลักฐานในการลงรายการในบัญชี

–          ส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้ผู้ทำบัญชี เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบส่งของใบสำคัญรับ-จ่าย ฯลฯถูกต้องครบถ้วนเพื่อให้บัญชีที่จัดทำขึ้นให้สามารถแสดงผลการดำเนินงานฐานะการเงินหรือการเปลี่ยนแปลง ฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตาม มาตรฐานการบัญชี

ปิดบัญชีและจัดทำงบการเงิน

–          ปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12 เดือน นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 เมษายน

–          จัดทำงบการเงิน โดยมีรายการย่อ ตาม พรบ.โรงเรียนเอกชน

–          จัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันสิ้นรอบบัญชี โดยคณะกรรมการบริหารจะต้องแต่งตั้งผู้สอบบัญชีขึ้นเพื่อการตรวจสอบบัญชี

การยื่นงบการเงิน

–          ยื่นงบการเงินต่อกรมที่ดินภายในจังหวัดภายใน เดือนนับวันแตสิ้นรอบระยะเวลาบัญช

 เก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี

–          เก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี ไว้ ณ สถานที่ทำการ

–           เก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ไม่น้อยกว่า ปีนับแต่วันปิดบัญชี

ถูกต้อง ตามประมวลรัษฎากร

หมายถึงการวางแผนภาษี ของนิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรร/อาคารชุด เพื่อให้นิติบุคคลฯได้รับประโยชน์สูงสุด ภายใต้เงื่อนไขที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันภาระที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตของกิจการ ดังนั้นการวางแผนภาษี (Tax Planning) ไม่ใช่เป็นการหลบเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance) หรือหนีภาษี (Tax Evasion) ก่อนที่จะมีการวางแผนภาษีนั้นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการวางแผนภาษีดังต่อไปนี้
   1.  ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย
             ในการวางแผนภาษีอากรผู้วางแผนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจตัวบทกฎหมายของ
นิติบุคคลฯ  อย่างชัดเจนถูกต้อง ไม่หลงลืมประเด็นหนึ่งประเด็นใดในตัวบทกฎหมายภาษีอากร นอกจากนี้จะต้องศึกษาคำพิพากษา และข้อหารือของกรมสรรพากรประกอบการวางแผนภาษีอากรให้รัดกุมครบถ้วน 
   2.  ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด
               จะต้องศึกษาข้อกฎหมายที่จะทำให้นิติบุคคลฯ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด โดยการกำหนดทางเลือกในการนำเงื่อนไขทางกฎหมายมาใช้ให้นิติบุคคลฯ ได้รับประโยชน์สูงสุดและถูกกฎหมายอีกด้วย เช่น รายได้ที่ได้รับยกเว้น
ภาษีเงินได้นิติบุคคล และเรื่องของการที่ไม่ต้องเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่

–           การจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมโอนทรัพย์สินที่เป็นสาธารณูปโภค และบริการสาธารณะ

–          .รายได้ค่าจากการจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และการจัดการสาธารณูปโภคจากผู้ซื้อที่ดินจัดสรรซึ่งเป็นสมาชิกของนิติบุคคลฯนั้น

   3.  ปลอดภัยจากภาระที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
                 การวางแผนภาษีอากรจะต้องคำนึงถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากมุมมองของผู้วางแผนขาดความรอบครอบในการศึกษาตัวบทกฎหมายได้อย่างถูกต้องแล้วอาจเกิดปัญหาได้ในอนาคตโดยถูกสรรพากรเรียกตรวจสอบและประเมินภาษี ทำให้นิติบุคคลฯ มีรายจ่ายเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
4.  มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและสมเหตุผล
                   เมื่อมีการวางแผนภาษีอากรในเรื่องหนึ่งเรื่องใดจะต้องมีการยกกฎหมายมาอ้างอิงให้ชัดเจน สามารถตอบคำถามในปัญหาต่าง ๆ ในประมวลรัษฎากร คำพิพากษา ข้อหารือของกรมสรรพากร หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องสามารถหาคำตอบได้เป็นที่ยอมรับของฝ่ายจัดการหรือฝ่ายบริหารอย่างไม่มีข้อสงสัย และเชื่อถือได้ในข้อมูลที่นำมาอ้างอิงเพื่อการวางแผนภาษี

2. การทำบัญชีให้มีคุณภาพ

การทำบัญชีให้มีคุณภาพจะประกอบด้วย แนวปฏิบัติ ดังนี้

      1.การจัดระบบการทำงานให้สอดคล้องกับโปรแกรมบัญชี

1.1. พยายามปรับระบบการทำงานให้เข้ากับโปรแกรมบัญชีมาก

       ที่สุด เพื่อลดปัญหาการเขียนโปรแกรมเพิ่ม

1.2. ทดลองนำข้อมูลเข้าในแต่ละระบบ และตรวจสอบ และปรับปรุง

        แก้ไข

1.3. ใช้จริง ติดตามผล และปรับปรุงแก้ไข

      2.กำหนดเป้าหมายตัวชี้วัด ที่เป็นไปได้

เป็นการกำหนด เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เช่น

}  ปิดบัญชีตรงเวลา 90 %

}  จำนวนบัญชีที่ต้องแก้ไขหลังจากที่ปิดแล้ว ไม่เกิน 3% ของรายการบัญชีทั้งหมด

}  จำนวนข้อบกพร่องที่ได้จากการตรวจสอบ  2จุดต่อเดือน

}  จำนวนครั้งที่ปิดบัญชีช้า

     3.มีการตรวจสอบติดตาม และปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนนี้จะเป็นการตั้งคณะกรรมการคุณภาพ  เพื่อตรวจสอบ ติดตาม และปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ภารกิจหลักของคณะกรรมการคุณภาพได้แก่

–                    กำหนดมาตรฐานคุณภาพในการทำงาน

–                    พิจารณาให้ความเห็นชอบในการทำงานคุณภาพ

–                    กำหนดระยะเวลาการตรวจสอบ

–                    จัดทำรายงาน และกำหนดแนวทางการแก้ไข